พญาสัตบรรณ

พญาสัตบรรณ

ชื่อพรรณไม้ (ท้องถิ่น) : ตีนเป็ด tin pet (Central); พญาสัตบรรณ phaya sattaban (Central) สัตตบรรณ sattaban (Central, Khmer-Chanthaburi); หัสบรรณ hatsaban (Kanchanaburi); กะโน้ะ ka-no (Karen- mae Hong Son); จะบัน cha-ban (Khmer-Prachin Buri); ยางขาว yang khao (Lampang); ตีนเป็ดดำ tin pet dam (Narathiwat); บะซา ba-sa, ปูลา pu-la, ปูแล pu-lae (Pattani, Malay-Yala)

ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Alstonia scholaris (L.) R. Br.

ชื่อพ้อง :  Echites scholaris L.

ชื่อสามัญ :  Devil tree, White cheesewood, Devil bark, Dita bark, Black board tree

วงศ์ :  Apocynaceae

ตำแหน่งที่พบ (ระบุพิกัด GPS) :  ละติจูด 13.818701 ˚N ลองจิจูด 100.041158 ˚E

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ลักษณะวิสัย (habit) :  ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ไม่ผลัดใบ

ลำต้น :  ลำต้นมีความสูง 25-30 เมตร เปลือกลำต้นแตกเป็นร่องตามแนวยาว สีเปลือกลำต้นมีสีเทาอมเหลือง หรือสีน้ำตาล  พบน้ำยางมาก สีของน้ำยางมีสีขาว

ใบ :  ใบเดี่ยว ใบเรียงเป็นวงรอบกิ่ง 5-8 ใบ ขนาดใบยาว 29-30 เซนติเมตร กว้าง 7.5-8 เซนติเมตร ลักษณะของใบเป็นรูปรี ปลายใบมน โคนใบเป็นรูปลิ่ม ขอบใบและผิวใบเรียบ ไม่มีขนปกคลุม ใบอ่อนท้องใบและหลังใบมีสีใกล้เคียงกัน คือสีเขียวอ่อน ส่วนใบแก่สีหลังใบจะเข้มกว่าท้องใบ เส้นใบเรียงตัวตั้งฉากกับเส้นกลางใบ พบน้ำยางสีขาว

ดอก :  ดอกช่อแบบช่อกระจุก ช่อคล้ายช่อดอกเข็ม ออกตามปลายกิ่ง ดอกย่อยมีขนาดเล็ก

ลักษณะกลีบเลี้ยง : มี 5 กลีบ ขนาดเล็กสีเขียว มีขนปกคลุมขนาดเล็กสีขาว

ลักษณะกลีบดอก : กลีบดอกรูปไข่ มีหยักเว้า ขนาดกลีบดอกกว้าง 1-1.9 มิลลิเมตร ยาว 1.5-2.3 มิลลิเมตร กลีบดอกมีสีขาว หรือสีเหลืองอมเขียว มีขนปกคลุมสีขาว

เกสรตัวผู้ :  มีขนาดเล็ก อับเรณูมีขนปกคลุม

เกสรตัวเมีย :  มีขนาดเล็กมาก มีเพียง 1 อันต่อ 1 ดอกย่อย

ผล :  ลักษณะผลเป็นผลฝัก กลมยาว มีสีขาวอมเขียว ผิวฝักเกลี้ยง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2-5 ซม. ยาว 30-40 ซม. ปลายผลมีลักษณะมนกลม ฝักแก่มีสีเทาน้ำตาล เมื่อผลแห้งแล้วจะแตก โดยแตกตามแนวตะเข็บ 2 ซีก ซ้าย-ขวา

เมล็ด :  ภายในฝักมีเมล็ดจำนวนมาก มีขนยาวอ่อนนุ่มเป็นกระจุกที่ปลายทั้งสองข้าง เพื่อให้เหมาะต่อการกระจายพันธุ์โดยลม

ฤดูการออกดอกและติดผล : ออกดอกช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม ติดผลเช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม ผลเริ่มแตกในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม

เขตการกระจายพันธุ์ :  ในประเทศไทยพบได้ทั่วไปในทุกภาค เป็นไม้ที่ชอบความชื้นสูง ดินระบายน้ำดี พบมากบริเวณใกล้แหล่งน้ำในป่าเบญจพรรณ หรือชายป่าพรุ  ไม่พบในป่าเต็งรังหรือบริเวณที่สูง

การใช้ประโยชน์ :  นิยมปลูกเป็นไม้มงคล และไม้ประดับ เพื่อเป็นร่มเงา เนื้อไม้นำมาแปรรูปใช้ประโยชน์ได้หลายด้าน อาทิ เก้าอี้ โต๊ะ ไม่ตะเกียบ เป็นต้น แต่ไม่นิยมทำเป็นไม้ก่อสร้าง เนื่องจากไม่คงคงทน เนื้อไม้มีความหนาแน่นต่ำ